เมนู

คุณเคยกรนเสียงดังจนคนข้างๆ นอนไม่หลับไหม แล้วเคยไหมที่นอนเท่าไหร่ก็รู้สึกไม่เต็มอิ่มสักที ไม่สดชื่นและง่วงนอนตลอดทั้งวัน หลายคนมีอาการเหล่านี้แต่ไม่ทันสังเกตหรือรู้ตัวว่าตัวเองกำลังมีปัญหาด้านสุขภาพ คงคิดเพียงว่าเป็นเพราะเราเหนื่อยหรืออ่อนล้าจากการทำงานเท่านั้น แต่จริงๆแล้วอาจไม่ใช่ก็ได้ เพราะถ้าคุณได้ลองไปตรวจร่างกาย อาจจะได้รู้ว่าคุณกำลังมีภาวะ Sleep Apnea หรือโรคหยุดหายใจขณะหลับชนิดอุดกั้นก็เป็นได้

โรคหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea) เป็นโรคของกลุ่มคนที่มีความผิดปกติในการหายใจขณะนอนหลับ ซึ่งอาการของความผิดปกตินี้คือจะมีหยุดหายใจเป็นพักๆ หรือมีค่า AHI มากกว่า 5 ขึ้นไป (เพิ่มเติมด้านล่าง) และส่วนใหญ่ภาวะเหล่านี้จะเกิดขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว จนกว่าจะมีอาการรุนแรงมากขึ้น เช่น กรนเสียงดังมากๆ ปวดหัวทุกเช้า เป็นต้น การหยุดหายใจขณะหลับส่งผลให้เกิดโรคต่างๆตามมาอีกมากมาย เช่น โรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน การดื้อต่ออินซูลิน ภาวะอ้วนลงพุง ผู้ที่มีภาวะหลอดเลือดหัวใจ หลอดเลือดสมอง และหัวใจเต้นผิดจังหวะ เป็นต้น และการหยุดหายใจขณะหลับเป็นเรื่องที่อันตรายมาก ถ้ารักษาไม่ทันเวลาและไม่ถูกวิธี ก็อาจส่งผลรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

เราจะรู้ว่าเราหยุดหายใจขณะหลับมากน้อยแค่ไหนจากการทำ Sleep Test และค่าที่ได้ เรียกว่า AHI (Apnea-hypopnea index) ซึ่งเป็นค่าการหยุดหายใจขณะหลับ ที่จะวัดว่าเราเป็นโรค Sleep Apnea อยู่หรือไม่

ปัจจุบันมีผู้ที่เป็นโรคนี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในประเทศไทย ซึ่งจะพบมากที่สุดในผู้สูงอายุ  ในผู้ชาย 4% ในผู้หญิงวัยทำงาน  2% ในเด็กก่อนวัยเรียนและประถม 1%  โดยส่วนใหญ่เกิดกับคนที่มีน้ำหนักเกิน หรือเป็นโรคอ้วน 

สาเหตุของโรคหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea) มี 2 ประเภท

  1. เกิดจากมีการอุดกั้นทางเดินหายใจ (Obstructive Sleep Apnea ; OSA) เป็นสาเหตุที่พบมากที่สุดในกลุ่มคนโรคนี้ ซึ่งมีได้หลายสาเหตุ ทั้งต่อมทอนซิล ต่อมอดีนอยด์โต มีเนื้องอกหรือซีสต์ในบริเวณโพรงจมูก หรือมาจากความอ้วนที่มีเนื้อเยื่อผนังคอหนาจนทางเดินหายใจแคบลง ส่งผลให้เกิดการอุดกั้นของทางเดินหายใจตอนบน  เช่น จมูก ปาก และลำคอ เป็นต้น เมื่อมีการอุดกั้นทางเดินหายใจ เราก็จะพยายามหายใจเข้าให้มากขึ้น เพื่อให้อากาศผ่านเข้าไปให้ได้จนทำให้เกิดเสียงกรน แต่โรคนี้เป็นภาวะที่ช่องทางเดินหายใจโดนอุดกั้นมากจนอากาศไม่สามารถผ่านไปได้ จนทำให้หายใจผิดจังหวะ หยุดหายใจเป็นพักๆ หรือหยุดหายใจไปนานจนทำให้อวัยวะต่างๆในร่างกายขาดออกซิเจน และมันไปกระตุ้นสมองให้ตื่นตัวจนไม่สามารถนอนหลับต่อเนื่องได้ทั้งคืน 
  1. เกิดจากความผิดปกติของสมอง (Central Sleep Apnea ; CSA) เป็นประเภทที่พบได้น้อยกว่าประเภทแรกมาก มีสาเหตุมาจากโรคของสมองส่วนกลาง ได้แก่ โรคหลอดเลือดสมอง โรคเนื้องอก โรคมะเร็งสมอง หรือจากผลข้างเคียงจากยานอนหลับที่มีฤทธิ์ไปกดสมองส่วนกลาง ทำให้สมองไม่สามารถสั่งงานได้ปกติ จึงเกิดภาวะการหายใจผิดปกติ 

กลุ่มคนที่เสี่ยงเป็นโรค Sleep Apnea

อาการของโรค Sleep Apnea ลองเช็คว่าคุณมีอาการเหล่านี้หรือไม่?

หากไม่รีบรักษาจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง 

การรักษาโรค Sleep Apnea มีอยู่ 4 แนวทางด้วยกัน โดยเรียงตามระดับความรุนแรงจากน้อยไปมาก ดังนี้

  1. ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต

เป็นการรักษาเบื้องต้นสำหรับผู้ที่ยังไม่มีอาการรุนแรง ซึ่งทำได้ง่ายๆโดยการเปลี่ยนท่านอน เช่น หลีกเลี่ยงการนอนหงาย ให้เปลี่ยนเป็นนอนตะแคง หรือนอนในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน และลองเปลี่ยนการใช้ชีวิต เช่น ลดน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ลดการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ ออกกำลังกายมากขึ้น และเลี่ยงการใช้ยายนอนหลับ ก็จะสามารถทำให้อาการดีขึ้นได้

  1.  การใช้อุปกรณ์ทางทันตกรรมช่องปาก

สามารถใช้อุปกรณ์ oral appliance ช่วยปรับให้กรามล่างและลิ้นอยู่ในลักษณะที่ไม่ปิดกั้นทางเดินหายใจขณะนอนหลับ การรักษานี้เหมาะกับผู้ที่มีความรุนแรงน้อยถึงปานกลาง 

  1. การรักษาด้วยเครื่อง CPAP (continuous positive airway pressure)

CPAP เป็นเครื่องอัดอากาศแรงดันบวก ซึ่งช่วยขยายทางเดินหายใจให้หายใจสะดวกขึ้นในขณะนอนหลับ ทำให้สามารถหายใจเอาอากาศเข้าได้มากขึ้นและยังสามารถป้องกันการนอนกรนได้อีกด้วย ปัจจุบันการรักษาด้วยวิธีนี้จะได้ผลดีและเป็นที่นิยมมากที่สุด

  1. การผ่าตัด 

หากมีอาการรุนแรง รักษามาทุกทางแล้วยังไม่ดีขึ้น แพทย์อาจจะวินิจฉัยว่าให้ทำการผ่าตัด โดยผ่าตัดในส่วนที่เป็นทางเดินหายใจที่ตีบแคบ ซึ่งการผ่าตัดก็ขึ้นอยู่กับอาการของแต่ละคน เช่น ผ่าตัดเพดานอ่อน กระดูกกราม ผนังกั้นจมูกคด หรือเจาะคอเพื่อใช้เครื่องช่วยหายใจ เป็นต้น โดยการผ่าตัดแต่ละจุดนั้นขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์

อ้างอิง:

อันตรายจากการหาวิธีแก้อาการนอนกรนเสียงดังเอง

การนอนกรนเป็นปัญหาใหญ่ของแทบจะทุกบ้าน หลายๆ คนอาจจะไปหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตเพื่อหาทางแก้ และได้เห็นเครื่องมือหรืออุปกรณ์แก้นอนกรนต่างๆ มากมายบนอินเตอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นเหล่าอุปกรณ์เล็กจิ๋วที่ใช้เสียบจมูก สายรัดคอ หรือสมุนไพรต่างๆ  แต่คุณจะรู้หรือไม่ว่าหลายๆ โฆษณาช่วยเชื่อเหล่านั้น ไม่สามารถช่วยแก้ปัญหาการนอนกรนได้จริง

1. เราต้องมาดูกันก่อนว่า เสียงกรนเกิดจากอะไร

การมีเสียงกรนนั้น เกิดจากกล้ามเนื้อ ในช่องปากมีการคลายตัว และหย่อนลงมาปิดกั้นทางเดินหายใจในขณะที่เรานอนหลับ ทำให้ช่องทางเดินหายใจมีภาวะตีบแคบลง หายใจเข้าออกลำบากและไม่สะดวก จึงทำให้เราต้องหายใจเข้าอย่างแรง จึงทำให้เกิดการกระพือของเสียง ซึ่งก็คือเสียงกรนนั่นเอง

2. ทีนี้เรามาดูกันว่า หากกูเกิ้ลหาวิธีแก้การนอนกรน อินเตอร์เน็ตจะบอกอะไรคุณบ้าง

2.1 การใช้ยาสมุนไพร มีสมุนไพรหลายประเภทที่ถูกกล่าวถึงว่ามีฤทธิ์ที่สามารถทำให้หายกรนได้ แต่จริงๆแล้วสมุนไพรเหล่านี้จะช่วยเพียงบรรเทาอาการได้เล็กน้อยเท่านั้น อาจจะทำให้ลำคอชุ่มชื่นขึ้น หรือช่วยละลายเสมหะ แต่จะไม่สามารถทำให้ช่องทางเดินหายใจกว้างขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการนอนกรนเสียงดัง

2.2 การใช้สายรัดคาง หลายงานวิจัยออกมายืนยันแล้วว่า สายรัดคางไม่ได้ช่วยเรื่องการนอนกรนเลยซักนิด แถมยังอาจจะทำให้อาการหนักขึ้นไปอีก เนื่องจากเป็นการไปบีบรัดขากรรไกร เพราะฉะนั้นหากเห็นโฆษณาบนเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซต่างๆ อย่าไปหลงเชื่อเป็นอันขาด

2.3 การใช้อุปกรณ์เสียบหรือหนีบจมูกเล็กๆ สิ่งนี้เคยฮิตมากในอินเทอร์เน็ต และทุกวันนี้ก็ยังมีขายบน Shopee กับ Lazada ทั้งๆ ที่กรมอาหารและยา ได้ออกมาเตือนแล้วว่าอันตราย และไม่สามารถแก้อาการนอนกรนได้จริง แถมส่วนใหญ่ยังถูกผลิตจากโรงงานในจีนที่ไม่ได้รับมาตรฐานอีกด้วย จึงอันตรายมากๆ หากผู้บริโภคซื้อมาใช้เอง

3. วิธีการรักษาการนอนกรนที่ดีที่สุดคือการไปพบแพทย์

การไปปรึกษาคุณหมอ หรือไปตรวจที่คลีนิกตรวจการนอน (Sleep Lap) จะทำให้คุณรู้สาเหตุของการนอนกรนของคุณอย่างแท้จริง ไม่ต้องเสียเวลา เสียเงินไปกับการแก้ปัญหาที่ไม่ตรงจุด ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง และปล่อยทิ้งไว้นานๆ อาการอาจจะหนักมากขึ้นไปอีก

4. สิ่งที่ควรจะตรวจให้รู้โดยเร็วคือ อาการนอนกรนเสียงดังของคุณเป็นแบบอันตราย หรือไม่อันตราย

อาการนอนกรนมี 2 ประเภท

  1.   อาการนอนกรนธรรมดา เป็นอาการที่ไม่อันตราย และไม่มีภาวะการหยุดหายใจขณะหลับ

รวมอยู่ด้วย แต่ถึงแม้จะไม่มีอันตราย แต่มันก็เป็นปัญหาและมีผลกระทบต่อคนรอบข้างและคุณภาพชีวิต โดยเฉพาะกับคู่นอนหรือคู่สามีภรรยา ถ้ากรนเสียงดังมากและยาวนานหลายปี ก็อาจเป็นปัญหาไปจนถึงการหย่าร้างได้เช่นกัน

  1.   อาการนอนกรนอันตราย อาการกรนประเภทนี้จะมีเสียงกรนที่ดังมากและมีภาวะการ

หยุดหายใจอยู่ด้วย การนอนกรนประเภทนี้นอกจากจะรบกวนคนรอบข้างในขณะหลับแล้ว ยังส่งผลต่อสุขภาพและการใช้ชีวิตของผู้กรนเองด้วยเช่นกัน เพราะมันทำให้นอนหลับไม่สนิท จะมีการสะดุ้งตื่นเป็นพักๆ ส่งผลให้นอนหลับพักผ่อนได้ไม่เต็มที่และง่วงนอนบ่อยในตอนกลางวัน ซึ่งมีผลกระทบต่อการใช้สมาธิในการทำงาน การเรียน การขับรถ หรือการใช้ชีวิตทั่วไป อาจทำให้เกิดอันตรายขึ้นได้ และหากปล่อยไว้นานๆ การกรนประเภทนี้ก็ยังทำให้มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคต่างๆ ได้ เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดในสมอง หัวใจเต้นผิดจังหวะ เป็นต้น 

วิธีการตรวจระดับการนอนกรน

เราจะรู้ก็ต่อเมื่อเราได้ทำการตรวจ Sleep Test เพื่อวัดค่า  AHI (Apnea-hypopnea index) ซึ่งเป็นค่าการหยุดหายใจขณะหลับ ที่จะวัดว่าเราเป็นโรค Sleep Apnea (โรคหยุดหายใจขณะหลับ) หรือไม่

เมื่อทำ Sleep Test จนได้ผลออกมาแล้วว่าอาการของคุณอยู่ในระดับไหน คุณก็จะสามารถรักษาหรือแก้ไขได้ถูกต้อง ปลอดภัย ไม่ต้องเสียเงิน เสียสุขภาพ และเสียเวลาเปล่าอีกด้วย

 การรักษาการนอนกรนแต่ละประเภท

กรณีแบบอาการนอนกรนธรรมดา

กรณีแบบอาการนอนกรนอันตราย

จากข้อมูลที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ จะเห็นว่าอาการนอนกรนไม่ใช่เรื่องตลกเลย การนอนกรนถือเป็นภัยใกล้ตัวที่คุณไม่ควรมองข้ามและไม่ควรซื้ออุปกรณ์มาใช้เอง อย่าหลงเชื่อคำโฆษณาเพียงเพราะคิดว่ามันง่าย สะดวก ราคาถูก แต่ควรคำนึงถึงการรักษาที่ตรงจุดและถูกวิธี โดยการทำ Sleep Test ก่อน เพื่อดูว่าเรามีอาการอยู่ในระดับไหน เพราะถ้าอาการรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แล้วยังปล่อยไว้นาน ไม่รีบรักษาให้ถูกต้อง อาจส่งผลถึงขั้นเสียชีวิตได้ เราจึงสนับสนุนให้ทุกคนที่นอนกรนได้ไปตรวจ เพื่อตัวคุณเองและคนที่คุณรัก

อ้างอิง:

เช็คราคาและสั่งซื้ออะไหล่บน Shopee

ไปยังเว็บไซต์ SHOPEE

เช็คราคาและสั่งซื้ออะไหล่บน LAZADA

ไปยังเว็บไซต์ LAZADA

เช็คราคาและสั่งซื้ออะไหล่กับ
แอดมิน

แอดไลน์
สงวนลิขสิทธิ์ ©2023 โดย บริษัท สู่ฝัน เมดิคอล จำกัด